วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2562

๒๐ ปี ผ่านไป ไม่ล้าสมัยเลย... นักการศึกษาไทยก็ไม่ธรรมดา (พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒)

ขณะที่ผมเขียนบันทึกนี้ เราอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งได้มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐ กำลังมีกระบวนการดำเนินการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ (อ่านได้ที่นี่) สิ่งที่น่าสนใจคือ พ.ร.บ. ฉบับใหม่จะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด จำเป็นที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งหมดของไทยในขณะนี้ ที่เรียนจบมากับ พ.ร.บ. การศึกษาฯ ฉบับแรก (พ.ศ. ๒๕๔๒) ต้องเรียนรู้เรียนรับการเปลี่ยนแปลงอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป

รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ เปลี่ยนเจตนารมณ์ด้านการศึกษาไปจาก พ.ศ. ๒๕๔๐ หรือไม่ อย่างไร

ก่อนจะตอบคำถามนี้ ควรอ่านบทบัญญัติทุกมาตราที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาก่อน ... เชิญครับ ... (หากไม่มีเวลาก็ข้ามไปอ่านการสังเคราะห์ของผมก็ได้ครับ)

รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ๓ มาตรา (อ่านเองที่นี่)

  • ในหมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย 
    • มาตราที่ ๔๒ บุคคลย่อมมีเสรีภาพทางวิชาการ 
      • (วรรค ๒) การศึกษา อบรม การเรียนการสอน การวิจัย และการเผยแพร่งานวิจัยตามหลักวิชาการ ย่อมได้รับการคุ้มครอง ทั้งนี้เท่าที่ไม่ขัดต่อหน้าที่พลเมืองหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
    • มาตราที่ ๔๓ บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันนการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า ๑๒ ปี รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย 
  • ในหมวด ๕ แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ 
    • มาตราที่ ๘๑ รัฐต้องจัดการศึกษาอบรมและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรม ให้เกิดความรู้คู่คุณธรรม จัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ ปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม สร้างเสริมความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สนับสนุนการค้นคว้า วิจัย ในศิลปวิทยาการต่าง ๆ เร่งรัดพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศ พัฒนาวิชาชีพครูและส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ  

รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ กำหนดเรื่องการศึกษาไว้โดยตรงไว้ ๔ มาตรา (อ่านเองที่นี่)

  • ในหมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย
    • มาตรา ๓๔ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจํากัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทํามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอํานาจ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน 
      • (วรรค ๒) เสรีภาพทางวิชาการย่อมได้รับความคุ้มครอง แต่การใช้เสรีภาพนั้นต้องไม่ขัดต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และต้องเคารพและไม่ปิดกั้นความเห็นต่างของบุคคลอื่น
  • ในหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ
    • มาตรา ๕๔ รัฐต้องดําเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
      • (วรรค ๒) รัฐต้องดําเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาตามวรรคหนึ่ง เพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัย โดยส่งเสริมและสนับสนุน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการดําเนินการด้วย
      • (วรรค ๓) รัฐต้องดําเนินการให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามความต้องการในระบบต่าง ๆ รวมทั้งส่งเสริม ให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต และจัดให้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ในการจัดการศึกษาทุกระดับ โดยรัฐมีหน้าที่ดําเนินการ กํากับ ส่งเสริม และสนับสนุนให้การจัดการศึกษาดังกล่าว มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติซึ่งอย่างน้อย ต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดทําแผนการศึกษาแห่งชาติ และการดําเนินการและตรวจสอบการดําเนินการให้เป็นไปตามแผนการศึกษาแห่งชาติด้วย (ตอนนี้มีแผนแล้ว คลิกที่นี่)
      • (วรรค ๔) การศึกษาทั้งปวงต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเชี่ยวชาญได้ตามความถนัดของตน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ
      • (วรรค ๕) ในการดําเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาตามวรรคสอง หรือให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามวรรคสาม รัฐต้องดําเนินการให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาตามความถนัดของตน
      • ให้จัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา และเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู โดยให้รัฐจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุน หรือใช้มาตรการหรือกลไกทางภาษีรวมทั้งการให้ผู้บริจาคทรัพยสินเข้ากองทุนได้รับประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีด้วย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องกําหนดให้การบริหารจัดการกองทุนเป็นอิสระและกําหนดให้มีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว
  • ในหมวดที่ ๖ แนวนโยบายแห่งรัฐ 
    • มาตรา ๖๙ รัฐพึงจัดให้มีและส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ ให้เกิดความรู้ การพัฒนา และนวัตกรรม เพื่อความเข้มแข็งของสังคม และเสริมสร้างความสามารถของคนในชาติ 
  • ในหมวดที่ ๑๖ การปฏิรูปประเทศ
    • มาตรา ๒๕๘ ให้ดำเนินการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผล
      • ด้าน จ. การศึกษา
        • (๑) ให้สามารถเริ่มดําเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษา ตามมาตรา ๕๔ วรรคสอง เพื่อให้เด็กเล็กได้รับการพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัยโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย 
        • (๒) ให้ดําเนินการตรากฎหมายเพื่อจัดตั้งกองทุนตามมาตรา ๕๔ วรรคหก ให้แล้วเสร็จ ภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ 
        • (๓) ให้มีกลไกและระบบการผลิต คัดกรองและพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครูและอาจารย์ ให้ได้ผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครู มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับ ความสามารถและประสิทธิภาพในการสอน รวมทั้งมีกลไกสร้างระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลของ ผู้ประกอบวิชาชีพครู
        • (๔) ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนทุกระดับเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามความถนัด และปรับปรุงโครงสร้างของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยสอดคล้องกันทั้งในระดับชาติ และระดับพื้นที่ 

จากการวิเคราะห์ใจความสำคัญ จะพบว่า 

  • เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับ ไม่ขัดแย้งกันแม้แต่น้อย 
  • รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ กำหนดเพียงหลักการไว้อย่างรวบยอด แล้วกำหนดให้ไปร่างกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษา ซึ่งต่อมาก็คือ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒  (ดังจะกล่าวต่อไป)
  • รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ ยกเรื่องการศึกษาเป็นด้านหลักหนึ่งในการ "ปฏิรูปประเทศ" และกำหนดให้การจัดการศึกษาภาคบังคับไว้เป็นหน้าที่ของรัฐ โดย
    • เพิ่มเติมการดูแลก่อนวัยเรียน
    • ให้จัดทำแผนการศึกษาอย่างมีส่วนร่วมกับชุมชนและสังคม
    • ให้จัดตั้งกองทุนด้านการศึกษา ... ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ
    • ให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตครูดี มีจิตวิญญาณของความเป็นครู มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง 
    • เน้นว่า ให้ปรับปรุงการเรียนการสอนทุกระดับให้สอดคล้องกันทั้งระดับชาติและพื้นที่ 
  • คำนิยมในการพัฒนาคนเปลี่ยน 
    • รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ ใช้คำว่า "ความรู้คู่คุณธรรม" 
    • รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ ใช้คำว่า "คนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ" 
  • รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ กำหนดให้การส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ไปเป็นมาตราหนึ่ง และคงไว้ในหมวดนโยบายแห่งรัฐ โดยดึงเอาเรื่องการศึกษาโดยตรงไปไว้หมวดหน้าที่รัฐและหมวดปฏิรูปประเทศ ดังที่กล่าวไป
    • หากพิจารณา พ.ร.บ. การศึกษาฯ พ.ศ. ๒๕๔๒ ต่อไป จะพบว่า การพัฒนาคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถูกกำหนดไว้ใน พ.ร.บ. 
    • ดังนั้นจึงตีความได้ว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ มีเจตนารมณ์ที่จะแยกการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ ออกจากการจัดการศึกษา เพื่อให้เกิดความรู้ การพัฒนา และนวัตกรรม ความเข้มแข็งของสังคม และเสริมสร้างความสามารถของคนในชาติ 
    • สอดคล้องกับการสร้าง "กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม" ซึ่งจะแยกไปจากกระทรวงศึกษาธิการ 
  • คำสำคัญที่เน้นย้ำมาก ๆ บ่อย ๆ ใน รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ คือ "ตามความถนัด" ซึ่งก็ได้กล่าวเน้นไว้แล้วในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ 
พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒


พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ศึกษาเองได้ที่นี่ (หรือดาวน์โหลด pdf ที่นี่) จากการสืบค้นพบมีสรุปย่อไว้ในบล็อคส่วนตัวที่นี่ และมี ผอ. ผู้ใจดีทำวีดีโออธิบายไว้ที่นี่ น่าจะมีประโยชน์(วัตถุประสงค์)สำหรับผู้จะไปเข้าสอบเป็นครูหรือบุคคลากรการศึกษามาก ๆ .... อนุโมทนาด้วยครับ

จากการศึกษาเชิงสังเคราะห์ ผมพบว่า แม้เวลาจะล่วงไปถึง ๒๐ ปี พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ อันเกิดขึ้นตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ หมวด ๕ มาตราที่ ๘๑ นั้น ไม่ได้ล้าสมัยเลย วิสัยทัศน์ของนักการศึกษาไทยและผู้หลักผู้ใหญ่สมัยนั้นยังคงให้แนวทางแห่งการจัดการศึกษาที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงของโลกโลกาภิวัตน์ ในทางกลับกัน การขับเคลื่อนการศึกษาไทยไปสู่เป้าหมาย (คือวิสัยทัศน์) นั้น ยังไม่สำเร็จ โดยเฉพาะข้อความอักษรสีแดงในภาพ

ปัญหาไม่ใช่กฎหมาย....และยิ่งไม่ใช่เป้าหมาย ... ปัญหาน่าจะมาจาก "หลายส่วนสิ่งอย่าง" ที่ทำให้เราเดินทางช้า ... โดยเฉพาะการ "ทอดทิ้งบ้าน ทิ้งวัด ทิ้งพระพุทธศาสนา หันไปศรัทธาตามตะวันตก" ....



ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า พ.ร.บ. การศึกษา ไม่ได้ล้าสมัย นักการศึกษาไทยก็ไม่ธรรมดา ... หันมาสามัคคีคนดี คนเก่งจะมารวมกัน

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

วิพากษ์แนวทางการเขียน Logbook ของ ก.ค.ศ.

เข้าใจว่า ขณะนี้สำนักงานข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้กำหนดให้ครูเขียน Logbook ตามแบบฟอร์มนี้ และกำหนดให้ PLC (Professinal Learning Community) หรือ ชุมชนเรียนรู้ทางวิชาชีพครู เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการยื่นขอเลื่อนวิทยฐานะครูแล้ว เพื่อส่งเสริมให้เกิดชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ (PLC) ขึ้นอย่างจริงจัง

เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะสร้างระบบและกลไกให้ครูทำ PLC และเห็นด้วยที่จะส่งเสริมและพัฒนาให้คุณครูเริ่มเขียน Logbook แต่เมื่อศึกษารูปแบบของ Logbook ที่ทาง ก.ค.ศ. กำหนดแล้ว ... ผมว่านี่ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง  จึงขอวิพากษ์แนวทางที่กำลังทำนี้  ... ก่อนจะไปวิพากษ์ทีละประเด็นเหล่านี้  ต่อไปนี้คือความเข้าใจต่อรูปแบบการทำ Logbook ที่กำหนดให้ครูทำ

การทำ PLC ตามแนวทางของ ก.ค.ศ.

แนวทาง PLC ที่กำหนดไว้ให้ทำ แสดงดังสไลด์ของท่าน ดังต่อไปนี้ 





ข้อสังเกตแนวทางการขับเคลื่อน PLC ของ ก.ค.ศ.

  • แนวทางการทำ PLC  ที่นำเสนอ สามารถสรุปได้เป็น ๗ ขั้นตอน ได้แก่
    • กำหนดปัญหา
    • วิเคราะห์สาเหตุ
    • หาวิธีแก้ไข 
    • เลือกวิธีแก้ไข
    • วางแผน
    • นำไปแผนไปใช้
    • ประเมินผล ถ้าสำเร็จได้นวัตกรรมไปเผยแพร่ ถ้าไม่สำเร็จให้นำไปปรับแผนใหม่
  • สิ่งที่แตกต่างจากเดิมที่ไม่เคยพูดถึง PLC คือ "ความร่วมมือ" คือให้ร่วมมือกันทำ ร่วมมือกันเป็นระดับๆ ดังนี้ 
    • PLC ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้เดียวกัน   ท่านยกตังอย่าง ผลสัมฤทธิ์วิชาคณิตศาสตร์ต่ำ เป็นต้น 
    • PLC ครูต่างกลุ่มสาระการเรียนรู้กัน ท่านยกตัวอย่าง ปัญหาการหนีเรียนเป็นประจำของนักเรียน 
    • PLC ระดับโรงเรียน ท่านยกตัวอย่าง ปัญหาครูขาดในบางกลุ่มสาระการเรียนรู้ ฯลฯ 
  • ผมคิดว่า แผนผังรูปแบบนี้ก็ชัดเจนเห็นลำดับขั้นตอนดี แต่อย่างไรก็ดี ก.ค.ศ. ไม่ควรจะกำหนดเป็นขั้นตอนตายตัว เพราะหน้างานการปฏิบัติ ไม่ได้เกิดขึ้นตามแผนผังนี้ เช่น ประสบการณ์ที่ไม่สำเร็จ หรือความล้มเหลว หลายครั้งมีคุณค่ามากเมื่อเผยแพร่ให้เพื่อนครูได้เรียนรู้จากความผิดพลาด เป็นต้น 
  • ผมเสนอว่า การทำ PLC ไม่ควรมีกำหนดรูปแบบตายตัว แต่ควรกำหนดองค์ประกอบสำคัญๆ แทน และการประเมินเกี่ยวกับ PLC ต้องไม่ใช่การเก็บร่องรอยการทำ PLC แต่เป็นการประเมินผลลัพธ์ (Outcome) จากการทำ PLC  แทน เช่น ถ้ากำหนดปัญหา นักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ หลังจากทำ PLC ไปสักระยะแล้ว นักเรียนอ่านออกเขียนได้ เป็นต้น 
  • โดยขั้นตอนการกำหนดประเด็นปัญหา การตั้งเป้าหมาย (ผลลัพธ์ที่คาดหวัง) และขั้นตอนการประเมินผลลัพธ์ ให้มีศึกษานิเทศก์หรือนักวิชาการระบบประเมินที่มีมาตรฐาน  เน้นว่าไม่ต้องประเมินฐานเอกสาร แต่เป็นการประเมินที่ผลลัพธ์คือตัวนักเรียน ว่ามีความรู้หรือทักษะเป้าหมายหรือไม่เพียงใด.
  • ดร.เกศทิพย์ ท่านแนะนำครูให้ใช่วงจร  Do-> Refleciton->Share->Learn โดยมี Output เป็น นวัตกรรมของกลุ่ม PLC 


  • รศ.ดร.ชวลิต ชูกำแพง แห่งมูลนิธิสถาบันวิจัยระบบการศึกษา ท่านใช้วงจร Plan-> Do->See 
  • ผมขอเสนอวงจร Plan->Do->See->Reflection ดังรูปครับ



วิพากษ์การเขียน Logbook ตามแนวทางของ ก.ค.ศ.

ก.ค.ศ. รวบรวมเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ในเว็บไซนี้ (ขอชื่นชมการนำข้อมูลขึ้นแชร์ออนไลน์นะครับ)  ตามแบบฟอร์มนี้ Logbook มีองค์ประกอบที่ต้องเติม อย่างน้อย ๒๐ ข้อ ดังนี้
  • วันที่ 
  • ชื่อกลุ่มกิจกรรม
  • จำนวนสมาชิก
  • ชื่อกิจกรรม
  • ครั้งที่ 
  • วันเดือนปีที่จัดกิจกรรม
  • ภาคเรียน
  • ปีการศึกษา/ปีงบประมาณ
  • จำนวนชั่วโมง
  • บทบาท
  • จำนวนสมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรม
  • ประเด็น
  • สาเหตุ
  • ความรู้/หลักการที่นำมาใช้
  • กิจกรรมที่ทำ
  • ผลที่ได้จากกิจกรรม
  • การนำผลที่ได้ไปใช้
  • อื่นๆ
  • รหัสเอกสารสำหรับตรวจสอบ
  • การรับรองจาก ผอ. 
และจากศึกษาจาก Powerpoint ของ ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า
  • Logbook ในความหมายนี้ ไม่ใช่บันทึกการเรียนรู้จากการทำงานสอนของครู 
  • Logbook ในความหมายนี้ คือ การบันทึกประชุมของกลุ่มครู 
  • ดังนั้น ในความหมายนี้ PLC ครู จึงเน้นไปที่งานเอกสารการประชุม ...  ซึ่งไม่น่าจะใช่ PLC ที่ดี
แนวทางการเขียน Logbook ที่ ก.ค.ศ. กำลังเผยแพร่อยู่ขณะนี้ แสดงดังตัวอย่าง ด้านล่าง 



  • ชัดเจนว่า เป็นการบันทึกการประชุมที่ค่อนข้างเป็นทางการและเป็นรูปแบบ เป็นพิธีการ คล้ายๆ วัฒนธรรมการทำงานแบบ "ประชุม" แล้ว "สั่งการ" เหมือนงานราชการทั่วไป  
  • ผมเห็นว่า การมารายงานการประชุมทุกครั้งแบบ "เต็มรูปแบบ" หรือ "เป็นรูปแบบ" แบบนี้ เป็นการเพิ่มงานโดยไม่จำเป็น  




  • ในการประชุมนี้ ใช้เวลา ๒ ชั่วโมง มีผู้เข้าร่วมราว ๑๐ ท่าน มีเอกสารประกอบ ๓ ฉบับ คือ แบบบันทึกการเรียนรู้ของนักเรียน แบบบันทึกหลังสอนของครูผู้สอน และแบบสังเกตการสอนของเพื่อนครูที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งมีรูปแบบดังตัวอย่างด้านล่าง ... ผมเข้าใจว่า น่าจะเป็นการทำ Lesson Study กันครั้งหนึ่ง
  • สังเกตว่า บันทึกการประชุมหลังสอนครั้งนี้ ก็ไม่ได้ มีรูปแบบตาม ๒๐ กว่าองค์ประกอบตามแบบฟอร์มที่กำหนด  














หลังจากศึกษาพอเข้าใจแล้วว่า แนวทางของ ก.ค.ศ. เป็นอย่างไร ผมมีความเห็นเชิงวิพากษ์ ดังนี้ 
  • การกำหนดให้ครูเขียน Logbook แบบนี้ เป็นการเพิ่มงาน เป็นภาระให้ครูมากขึ้น เป็นงานเอกสาร 
  • สังเกตว่า ประเด็นต่างๆ ที่บันทึก สะท้อนว่า การสนทนาไม่ได้มุ่งเอา "ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่เกิดกับนักเรียนรายบุคคล"  แต่เหมือนมุ่งไปที่ "ครู" เช่น วิธีการสอนของครู พฤติกรรมของเด็กต่อการสอน ... ซึ่งความจริงควรจะมีการสนทนากัน  ข้อมูลสะท้อนเกี่ยวกับนักเรียนไม่ลงลึกถึงคนที่มีปัญหา ความรุนแรงของปัญหา และไม่ถึงสาเหตุของปัญหา 
  • สังเกตว่า ข้อมูลไม่ละเอียดมากนัก ไม่เห็นผลการประเมินผลลัพธ์เชิงปริมาณ  ส่วนใหญ่จะเป็นการประเมินสถานการณ์ (ด้วยความคิดความเห็น) ของผู้พูด เช่น นักเรียนส่วนใหญ่....  เป็นต้น แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาในการทำ PLC เบื้องต้นต้องเริ่มแบบนี้  ต่อไปเมื่อ PLC หมุนเกลียวลงลึก จะทำให้ข้อมูลมีทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ละเอียดถึงปัญหาว่าอยู่ตรงไหน แก้แบบนี้ แล้วผลเป็นอย่างไร  ... ซึ่งหากละเอียดถึงตรงนั้น  รายงานการประชุมไม่ใช่เครื่องมือจะจัดเก็บได้ ต้องใช้การจัดการความรู้ (Knowledge Managenet, KM)
  • เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนคือความเข้าใจใส่ของครู และปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ ครูต้องทำภาระงานอะไรที่ไม่เกี่ยวกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน หรือไปทำงานส่วนตัว หรือแม้แต่จะเป็นการทิ้งร้างห่างเด็กไปด้วยไม่มีจิตวิญญาณแห่งครูเหลืออยู่ ... การคืนครูให้นักเรียน เป็นแนวทางที่ถูกต้อง 
  • ดังนั้น การกำหนดภาระงานด้านเอกสาร จึงไม่ใช่แนวทางที่ดี 
ผมฝันว่า 
  • ระบบวิทยฐานะไม่ต้องตามดูร่องรอยเอกสารมากนัก ให้เน้นไปที่ผลลัพธ์ต่อนักเรียน และสังเกตจากร่องรอยการเรียนรู้ของครูแต่ละคน ซึ่งแต่ละท่านอาจจะจัดเก็บข้อมูลตามรูปแบบที่ตนถนัดและชื่นชอบ  ... เช่น ครูบางท่านอาจจะชอบเขียนบันทึกบน gotoknow เหมือนผม เป็นต้น ... ดังนั้น Logbook อาจอยู่ในรูปแบบใดๆ ก็ได้ที่ครูถนัด เช่น การเขียนลงในสมุดบันทึก การเขียนบันทึกในบล็อค การเขียนในเว็บไซต์ การบันทึกเสียง การบันทึกเป็นคลิปวีดีโอ ฯลฯ   
  • สิ่งที่ สพฐ. และ ก.ค.ศ. ต้องการ จะบูรณาการกับงานของครูเพื่อศิษย์ โดยไม่ได้ไปสร้างภาระอะไร แต่ทุกสิ่งอย่าง หนุนให้ท่านทำในสิ่งที่อยากทำเพื่อให้เด็กมีผลการเรียนรู้ดีขึ้น... การถอดบทเรียนของนักการศึกษา หรือนักขับเคลื่อนอิสระ "ฅนค้นครู" พิสูจน์ให้รู้ทั่วไปแล้วว่า มีคุณครูแบบนี้อยู่มาก  
  • วิทยาฐานะ หรือความก้าวหน้าของครูเพื่อศิษย์  สามารถมอบให้ท่านได้โดยท่าน "ไม่ต้องขอ" ไม่ต้องกรอกเอกสารใดๆ  เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ท่านทำให้ต่อศิษย์ เป็นที่ประจักษ์ชัด  ซึ่งอาจยืนยันด้วยแบบทดสอบมาตรฐาน และการเข้าไปประเมินเชิงประจักษ์จริงๆ จากผู้ประเมินที่เชี่ยวชาญ ซื่อสัตย์และเป็นกลาง 
บุคลากรที่มีในส่วนกลาง  ลงไปร่วมกันลุยช่วยครู ให้ครูได้อยู่และสอนเด็กเต็มที่ คือก้าวแรกที่ควรจะทำครับ