รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ เปลี่ยนเจตนารมณ์ด้านการศึกษาไปจาก พ.ศ. ๒๕๔๐ หรือไม่ อย่างไร
ก่อนจะตอบคำถามนี้ ควรอ่านบทบัญญัติทุกมาตราที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาก่อน ... เชิญครับ ... (หากไม่มีเวลาก็ข้ามไปอ่านการสังเคราะห์ของผมก็ได้ครับ)
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ๓ มาตรา (อ่านเองที่นี่)
- ในหมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย
- มาตราที่ ๔๒ บุคคลย่อมมีเสรีภาพทางวิชาการ
- (วรรค ๒) การศึกษา อบรม การเรียนการสอน การวิจัย และการเผยแพร่งานวิจัยตามหลักวิชาการ ย่อมได้รับการคุ้มครอง ทั้งนี้เท่าที่ไม่ขัดต่อหน้าที่พลเมืองหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
- มาตราที่ ๔๓ บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันนการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า ๑๒ ปี รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
- ในหมวด ๕ แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
- มาตราที่ ๘๑ รัฐต้องจัดการศึกษาอบรมและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรม ให้เกิดความรู้คู่คุณธรรม จัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ ปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม สร้างเสริมความรู้และปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สนับสนุนการค้นคว้า วิจัย ในศิลปวิทยาการต่าง ๆ เร่งรัดพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศ พัฒนาวิชาชีพครูและส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ กำหนดเรื่องการศึกษาไว้โดยตรงไว้ ๔ มาตรา (อ่านเองที่นี่)
- ในหมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย
- มาตรา ๓๔ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจํากัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทํามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอํานาจ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน
- (วรรค ๒) เสรีภาพทางวิชาการย่อมได้รับความคุ้มครอง แต่การใช้เสรีภาพนั้นต้องไม่ขัดต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และต้องเคารพและไม่ปิดกั้นความเห็นต่างของบุคคลอื่น
- ในหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ
- มาตรา ๕๔ รัฐต้องดําเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
- (วรรค ๒) รัฐต้องดําเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาตามวรรคหนึ่ง เพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัย โดยส่งเสริมและสนับสนุน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการดําเนินการด้วย
- (วรรค ๓) รัฐต้องดําเนินการให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามความต้องการในระบบต่าง ๆ รวมทั้งส่งเสริม ให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต และจัดให้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ในการจัดการศึกษาทุกระดับ โดยรัฐมีหน้าที่ดําเนินการ กํากับ ส่งเสริม และสนับสนุนให้การจัดการศึกษาดังกล่าว มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติซึ่งอย่างน้อย ต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดทําแผนการศึกษาแห่งชาติ และการดําเนินการและตรวจสอบการดําเนินการให้เป็นไปตามแผนการศึกษาแห่งชาติด้วย (ตอนนี้มีแผนแล้ว คลิกที่นี่)
- (วรรค ๔) การศึกษาทั้งปวงต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเชี่ยวชาญได้ตามความถนัดของตน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ
- (วรรค ๕) ในการดําเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาตามวรรคสอง หรือให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามวรรคสาม รัฐต้องดําเนินการให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาตามความถนัดของตน
- ให้จัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา และเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู โดยให้รัฐจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุน หรือใช้มาตรการหรือกลไกทางภาษีรวมทั้งการให้ผู้บริจาคทรัพยสินเข้ากองทุนได้รับประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีด้วย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องกําหนดให้การบริหารจัดการกองทุนเป็นอิสระและกําหนดให้มีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว
- ในหมวดที่ ๖ แนวนโยบายแห่งรัฐ
- มาตรา ๖๙ รัฐพึงจัดให้มีและส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ ให้เกิดความรู้ การพัฒนา และนวัตกรรม เพื่อความเข้มแข็งของสังคม และเสริมสร้างความสามารถของคนในชาติ
- ในหมวดที่ ๑๖ การปฏิรูปประเทศ
- มาตรา ๒๕๘ ให้ดำเนินการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผล
- ด้าน จ. การศึกษา
- (๑) ให้สามารถเริ่มดําเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษา ตามมาตรา ๕๔ วรรคสอง เพื่อให้เด็กเล็กได้รับการพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัยโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
- (๒) ให้ดําเนินการตรากฎหมายเพื่อจัดตั้งกองทุนตามมาตรา ๕๔ วรรคหก ให้แล้วเสร็จ ภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้
- (๓) ให้มีกลไกและระบบการผลิต คัดกรองและพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครูและอาจารย์ ให้ได้ผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครู มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับ ความสามารถและประสิทธิภาพในการสอน รวมทั้งมีกลไกสร้างระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลของ ผู้ประกอบวิชาชีพครู
- (๔) ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนทุกระดับเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามความถนัด และปรับปรุงโครงสร้างของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยสอดคล้องกันทั้งในระดับชาติ และระดับพื้นที่
จากการวิเคราะห์ใจความสำคัญ จะพบว่า
- เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับ ไม่ขัดแย้งกันแม้แต่น้อย
- รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ กำหนดเพียงหลักการไว้อย่างรวบยอด แล้วกำหนดให้ไปร่างกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษา ซึ่งต่อมาก็คือ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ดังจะกล่าวต่อไป)
- รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ ยกเรื่องการศึกษาเป็นด้านหลักหนึ่งในการ "ปฏิรูปประเทศ" และกำหนดให้การจัดการศึกษาภาคบังคับไว้เป็นหน้าที่ของรัฐ โดย
- เพิ่มเติมการดูแลก่อนวัยเรียน
- ให้จัดทำแผนการศึกษาอย่างมีส่วนร่วมกับชุมชนและสังคม
- ให้จัดตั้งกองทุนด้านการศึกษา ... ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ
- ให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตครูดี มีจิตวิญญาณของความเป็นครู มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง
- เน้นว่า ให้ปรับปรุงการเรียนการสอนทุกระดับให้สอดคล้องกันทั้งระดับชาติและพื้นที่
- คำนิยมในการพัฒนาคนเปลี่ยน
- รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ ใช้คำว่า "ความรู้คู่คุณธรรม"
- รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ ใช้คำว่า "คนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ"
- รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ กำหนดให้การส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปเป็นมาตราหนึ่ง และคงไว้ในหมวดนโยบายแห่งรัฐ โดยดึงเอาเรื่องการศึกษาโดยตรงไปไว้หมวดหน้าที่รัฐและหมวดปฏิรูปประเทศ ดังที่กล่าวไป
- หากพิจารณา พ.ร.บ. การศึกษาฯ พ.ศ. ๒๕๔๒ ต่อไป จะพบว่า การพัฒนาคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถูกกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.
- ดังนั้นจึงตีความได้ว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ มีเจตนารมณ์ที่จะแยกการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ ออกจากการจัดการศึกษา เพื่อให้เกิดความรู้ การพัฒนา และนวัตกรรม ความเข้มแข็งของสังคม และเสริมสร้างความสามารถของคนในชาติ
- สอดคล้องกับการสร้าง "กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม" ซึ่งจะแยกไปจากกระทรวงศึกษาธิการ
- คำสำคัญที่เน้นย้ำมาก ๆ บ่อย ๆ ใน รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ คือ "ตามความถนัด" ซึ่งก็ได้กล่าวเน้นไว้แล้วในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐
พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒
พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ศึกษาเองได้ที่นี่ (หรือดาวน์โหลด pdf ที่นี่) จากการสืบค้นพบมีสรุปย่อไว้ในบล็อคส่วนตัวที่นี่ และมี ผอ. ผู้ใจดีทำวีดีโออธิบายไว้ที่นี่ น่าจะมีประโยชน์(วัตถุประสงค์)สำหรับผู้จะไปเข้าสอบเป็นครูหรือบุคคลากรการศึกษามาก ๆ .... อนุโมทนาด้วยครับ
จากการศึกษาเชิงสังเคราะห์ ผมพบว่า แม้เวลาจะล่วงไปถึง ๒๐ ปี พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ อันเกิดขึ้นตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ หมวด ๕ มาตราที่ ๘๑ นั้น ไม่ได้ล้าสมัยเลย วิสัยทัศน์ของนักการศึกษาไทยและผู้หลักผู้ใหญ่สมัยนั้นยังคงให้แนวทางแห่งการจัดการศึกษาที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงของโลกโลกาภิวัตน์ ในทางกลับกัน การขับเคลื่อนการศึกษาไทยไปสู่เป้าหมาย (คือวิสัยทัศน์) นั้น ยังไม่สำเร็จ โดยเฉพาะข้อความอักษรสีแดงในภาพ
ปัญหาไม่ใช่กฎหมาย....และยิ่งไม่ใช่เป้าหมาย ... ปัญหาน่าจะมาจาก "หลายส่วนสิ่งอย่าง" ที่ทำให้เราเดินทางช้า ... โดยเฉพาะการ "ทอดทิ้งบ้าน ทิ้งวัด ทิ้งพระพุทธศาสนา หันไปศรัทธาตามตะวันตก" ....























