เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะสร้างระบบและกลไกให้ครูทำ PLC และเห็นด้วยที่จะส่งเสริมและพัฒนาให้คุณครูเริ่มเขียน Logbook แต่เมื่อศึกษารูปแบบของ Logbook ที่ทาง ก.ค.ศ. กำหนดแล้ว ... ผมว่านี่ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง จึงขอวิพากษ์แนวทางที่กำลังทำนี้ ... ก่อนจะไปวิพากษ์ทีละประเด็นเหล่านี้ ต่อไปนี้คือความเข้าใจต่อรูปแบบการทำ Logbook ที่กำหนดให้ครูทำ
การทำ PLC ตามแนวทางของ ก.ค.ศ.
แนวทาง PLC ที่กำหนดไว้ให้ทำ แสดงดังสไลด์ของท่าน ดังต่อไปนี้
ข้อสังเกตแนวทางการขับเคลื่อน PLC ของ ก.ค.ศ.
- แนวทางการทำ PLC ที่นำเสนอ สามารถสรุปได้เป็น ๗ ขั้นตอน ได้แก่
- กำหนดปัญหา
- วิเคราะห์สาเหตุ
- หาวิธีแก้ไข
- เลือกวิธีแก้ไข
- วางแผน
- นำไปแผนไปใช้
- ประเมินผล ถ้าสำเร็จได้นวัตกรรมไปเผยแพร่ ถ้าไม่สำเร็จให้นำไปปรับแผนใหม่
- สิ่งที่แตกต่างจากเดิมที่ไม่เคยพูดถึง PLC คือ "ความร่วมมือ" คือให้ร่วมมือกันทำ ร่วมมือกันเป็นระดับๆ ดังนี้
- PLC ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้เดียวกัน ท่านยกตังอย่าง ผลสัมฤทธิ์วิชาคณิตศาสตร์ต่ำ เป็นต้น
- PLC ครูต่างกลุ่มสาระการเรียนรู้กัน ท่านยกตัวอย่าง ปัญหาการหนีเรียนเป็นประจำของนักเรียน
- PLC ระดับโรงเรียน ท่านยกตัวอย่าง ปัญหาครูขาดในบางกลุ่มสาระการเรียนรู้ ฯลฯ
- ผมคิดว่า แผนผังรูปแบบนี้ก็ชัดเจนเห็นลำดับขั้นตอนดี แต่อย่างไรก็ดี ก.ค.ศ. ไม่ควรจะกำหนดเป็นขั้นตอนตายตัว เพราะหน้างานการปฏิบัติ ไม่ได้เกิดขึ้นตามแผนผังนี้ เช่น ประสบการณ์ที่ไม่สำเร็จ หรือความล้มเหลว หลายครั้งมีคุณค่ามากเมื่อเผยแพร่ให้เพื่อนครูได้เรียนรู้จากความผิดพลาด เป็นต้น
- ผมเสนอว่า การทำ PLC ไม่ควรมีกำหนดรูปแบบตายตัว แต่ควรกำหนดองค์ประกอบสำคัญๆ แทน และการประเมินเกี่ยวกับ PLC ต้องไม่ใช่การเก็บร่องรอยการทำ PLC แต่เป็นการประเมินผลลัพธ์ (Outcome) จากการทำ PLC แทน เช่น ถ้ากำหนดปัญหา นักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ หลังจากทำ PLC ไปสักระยะแล้ว นักเรียนอ่านออกเขียนได้ เป็นต้น
- โดยขั้นตอนการกำหนดประเด็นปัญหา การตั้งเป้าหมาย (ผลลัพธ์ที่คาดหวัง) และขั้นตอนการประเมินผลลัพธ์ ให้มีศึกษานิเทศก์หรือนักวิชาการระบบประเมินที่มีมาตรฐาน เน้นว่าไม่ต้องประเมินฐานเอกสาร แต่เป็นการประเมินที่ผลลัพธ์คือตัวนักเรียน ว่ามีความรู้หรือทักษะเป้าหมายหรือไม่เพียงใด.
- ดร.เกศทิพย์ ท่านแนะนำครูให้ใช่วงจร Do-> Refleciton->Share->Learn โดยมี Output เป็น นวัตกรรมของกลุ่ม PLC
- รศ.ดร.ชวลิต ชูกำแพง แห่งมูลนิธิสถาบันวิจัยระบบการศึกษา ท่านใช้วงจร Plan-> Do->See
- ผมขอเสนอวงจร Plan->Do->See->Reflection ดังรูปครับ
วิพากษ์การเขียน Logbook ตามแนวทางของ ก.ค.ศ.
ก.ค.ศ. รวบรวมเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ในเว็บไซนี้ (ขอชื่นชมการนำข้อมูลขึ้นแชร์ออนไลน์นะครับ) ตามแบบฟอร์มนี้ Logbook มีองค์ประกอบที่ต้องเติม อย่างน้อย ๒๐ ข้อ ดังนี้
- วันที่
- ชื่อกลุ่มกิจกรรม
- จำนวนสมาชิก
- ชื่อกิจกรรม
- ครั้งที่
- วันเดือนปีที่จัดกิจกรรม
- ภาคเรียน
- ปีการศึกษา/ปีงบประมาณ
- จำนวนชั่วโมง
- บทบาท
- จำนวนสมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรม
- ประเด็น
- สาเหตุ
- ความรู้/หลักการที่นำมาใช้
- กิจกรรมที่ทำ
- ผลที่ได้จากกิจกรรม
- การนำผลที่ได้ไปใช้
- อื่นๆ
- รหัสเอกสารสำหรับตรวจสอบ
- การรับรองจาก ผอ.
- Logbook ในความหมายนี้ ไม่ใช่บันทึกการเรียนรู้จากการทำงานสอนของครู
- Logbook ในความหมายนี้ คือ การบันทึกประชุมของกลุ่มครู
- ดังนั้น ในความหมายนี้ PLC ครู จึงเน้นไปที่งานเอกสารการประชุม ... ซึ่งไม่น่าจะใช่ PLC ที่ดี
แนวทางการเขียน Logbook ที่ ก.ค.ศ. กำลังเผยแพร่อยู่ขณะนี้ แสดงดังตัวอย่าง ด้านล่าง
- ชัดเจนว่า เป็นการบันทึกการประชุมที่ค่อนข้างเป็นทางการและเป็นรูปแบบ เป็นพิธีการ คล้ายๆ วัฒนธรรมการทำงานแบบ "ประชุม" แล้ว "สั่งการ" เหมือนงานราชการทั่วไป
- ผมเห็นว่า การมารายงานการประชุมทุกครั้งแบบ "เต็มรูปแบบ" หรือ "เป็นรูปแบบ" แบบนี้ เป็นการเพิ่มงานโดยไม่จำเป็น
- ในการประชุมนี้ ใช้เวลา ๒ ชั่วโมง มีผู้เข้าร่วมราว ๑๐ ท่าน มีเอกสารประกอบ ๓ ฉบับ คือ แบบบันทึกการเรียนรู้ของนักเรียน แบบบันทึกหลังสอนของครูผู้สอน และแบบสังเกตการสอนของเพื่อนครูที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งมีรูปแบบดังตัวอย่างด้านล่าง ... ผมเข้าใจว่า น่าจะเป็นการทำ Lesson Study กันครั้งหนึ่ง
- สังเกตว่า บันทึกการประชุมหลังสอนครั้งนี้ ก็ไม่ได้ มีรูปแบบตาม ๒๐ กว่าองค์ประกอบตามแบบฟอร์มที่กำหนด
หลังจากศึกษาพอเข้าใจแล้วว่า แนวทางของ ก.ค.ศ. เป็นอย่างไร ผมมีความเห็นเชิงวิพากษ์ ดังนี้
- การกำหนดให้ครูเขียน Logbook แบบนี้ เป็นการเพิ่มงาน เป็นภาระให้ครูมากขึ้น เป็นงานเอกสาร
- สังเกตว่า ประเด็นต่างๆ ที่บันทึก สะท้อนว่า การสนทนาไม่ได้มุ่งเอา "ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่เกิดกับนักเรียนรายบุคคล" แต่เหมือนมุ่งไปที่ "ครู" เช่น วิธีการสอนของครู พฤติกรรมของเด็กต่อการสอน ... ซึ่งความจริงควรจะมีการสนทนากัน ข้อมูลสะท้อนเกี่ยวกับนักเรียนไม่ลงลึกถึงคนที่มีปัญหา ความรุนแรงของปัญหา และไม่ถึงสาเหตุของปัญหา
- สังเกตว่า ข้อมูลไม่ละเอียดมากนัก ไม่เห็นผลการประเมินผลลัพธ์เชิงปริมาณ ส่วนใหญ่จะเป็นการประเมินสถานการณ์ (ด้วยความคิดความเห็น) ของผู้พูด เช่น นักเรียนส่วนใหญ่.... เป็นต้น แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาในการทำ PLC เบื้องต้นต้องเริ่มแบบนี้ ต่อไปเมื่อ PLC หมุนเกลียวลงลึก จะทำให้ข้อมูลมีทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ละเอียดถึงปัญหาว่าอยู่ตรงไหน แก้แบบนี้ แล้วผลเป็นอย่างไร ... ซึ่งหากละเอียดถึงตรงนั้น รายงานการประชุมไม่ใช่เครื่องมือจะจัดเก็บได้ ต้องใช้การจัดการความรู้ (Knowledge Managenet, KM)
- เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนคือความเข้าใจใส่ของครู และปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ ครูต้องทำภาระงานอะไรที่ไม่เกี่ยวกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน หรือไปทำงานส่วนตัว หรือแม้แต่จะเป็นการทิ้งร้างห่างเด็กไปด้วยไม่มีจิตวิญญาณแห่งครูเหลืออยู่ ... การคืนครูให้นักเรียน เป็นแนวทางที่ถูกต้อง
- ดังนั้น การกำหนดภาระงานด้านเอกสาร จึงไม่ใช่แนวทางที่ดี
ผมฝันว่า
- ระบบวิทยฐานะไม่ต้องตามดูร่องรอยเอกสารมากนัก ให้เน้นไปที่ผลลัพธ์ต่อนักเรียน และสังเกตจากร่องรอยการเรียนรู้ของครูแต่ละคน ซึ่งแต่ละท่านอาจจะจัดเก็บข้อมูลตามรูปแบบที่ตนถนัดและชื่นชอบ ... เช่น ครูบางท่านอาจจะชอบเขียนบันทึกบน gotoknow เหมือนผม เป็นต้น ... ดังนั้น Logbook อาจอยู่ในรูปแบบใดๆ ก็ได้ที่ครูถนัด เช่น การเขียนลงในสมุดบันทึก การเขียนบันทึกในบล็อค การเขียนในเว็บไซต์ การบันทึกเสียง การบันทึกเป็นคลิปวีดีโอ ฯลฯ
- สิ่งที่ สพฐ. และ ก.ค.ศ. ต้องการ จะบูรณาการกับงานของครูเพื่อศิษย์ โดยไม่ได้ไปสร้างภาระอะไร แต่ทุกสิ่งอย่าง หนุนให้ท่านทำในสิ่งที่อยากทำเพื่อให้เด็กมีผลการเรียนรู้ดีขึ้น... การถอดบทเรียนของนักการศึกษา หรือนักขับเคลื่อนอิสระ "ฅนค้นครู" พิสูจน์ให้รู้ทั่วไปแล้วว่า มีคุณครูแบบนี้อยู่มาก
- วิทยาฐานะ หรือความก้าวหน้าของครูเพื่อศิษย์ สามารถมอบให้ท่านได้โดยท่าน "ไม่ต้องขอ" ไม่ต้องกรอกเอกสารใดๆ เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ท่านทำให้ต่อศิษย์ เป็นที่ประจักษ์ชัด ซึ่งอาจยืนยันด้วยแบบทดสอบมาตรฐาน และการเข้าไปประเมินเชิงประจักษ์จริงๆ จากผู้ประเมินที่เชี่ยวชาญ ซื่อสัตย์และเป็นกลาง
บุคลากรที่มีในส่วนกลาง ลงไปร่วมกันลุยช่วยครู ให้ครูได้อยู่และสอนเด็กเต็มที่ คือก้าวแรกที่ควรจะทำครับ























ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น