วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

วิพากษ์แนวทางการเขียน Logbook ของ ก.ค.ศ.

เข้าใจว่า ขณะนี้สำนักงานข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้กำหนดให้ครูเขียน Logbook ตามแบบฟอร์มนี้ และกำหนดให้ PLC (Professinal Learning Community) หรือ ชุมชนเรียนรู้ทางวิชาชีพครู เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการยื่นขอเลื่อนวิทยฐานะครูแล้ว เพื่อส่งเสริมให้เกิดชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ (PLC) ขึ้นอย่างจริงจัง

เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะสร้างระบบและกลไกให้ครูทำ PLC และเห็นด้วยที่จะส่งเสริมและพัฒนาให้คุณครูเริ่มเขียน Logbook แต่เมื่อศึกษารูปแบบของ Logbook ที่ทาง ก.ค.ศ. กำหนดแล้ว ... ผมว่านี่ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง  จึงขอวิพากษ์แนวทางที่กำลังทำนี้  ... ก่อนจะไปวิพากษ์ทีละประเด็นเหล่านี้  ต่อไปนี้คือความเข้าใจต่อรูปแบบการทำ Logbook ที่กำหนดให้ครูทำ

การทำ PLC ตามแนวทางของ ก.ค.ศ.

แนวทาง PLC ที่กำหนดไว้ให้ทำ แสดงดังสไลด์ของท่าน ดังต่อไปนี้ 





ข้อสังเกตแนวทางการขับเคลื่อน PLC ของ ก.ค.ศ.

  • แนวทางการทำ PLC  ที่นำเสนอ สามารถสรุปได้เป็น ๗ ขั้นตอน ได้แก่
    • กำหนดปัญหา
    • วิเคราะห์สาเหตุ
    • หาวิธีแก้ไข 
    • เลือกวิธีแก้ไข
    • วางแผน
    • นำไปแผนไปใช้
    • ประเมินผล ถ้าสำเร็จได้นวัตกรรมไปเผยแพร่ ถ้าไม่สำเร็จให้นำไปปรับแผนใหม่
  • สิ่งที่แตกต่างจากเดิมที่ไม่เคยพูดถึง PLC คือ "ความร่วมมือ" คือให้ร่วมมือกันทำ ร่วมมือกันเป็นระดับๆ ดังนี้ 
    • PLC ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้เดียวกัน   ท่านยกตังอย่าง ผลสัมฤทธิ์วิชาคณิตศาสตร์ต่ำ เป็นต้น 
    • PLC ครูต่างกลุ่มสาระการเรียนรู้กัน ท่านยกตัวอย่าง ปัญหาการหนีเรียนเป็นประจำของนักเรียน 
    • PLC ระดับโรงเรียน ท่านยกตัวอย่าง ปัญหาครูขาดในบางกลุ่มสาระการเรียนรู้ ฯลฯ 
  • ผมคิดว่า แผนผังรูปแบบนี้ก็ชัดเจนเห็นลำดับขั้นตอนดี แต่อย่างไรก็ดี ก.ค.ศ. ไม่ควรจะกำหนดเป็นขั้นตอนตายตัว เพราะหน้างานการปฏิบัติ ไม่ได้เกิดขึ้นตามแผนผังนี้ เช่น ประสบการณ์ที่ไม่สำเร็จ หรือความล้มเหลว หลายครั้งมีคุณค่ามากเมื่อเผยแพร่ให้เพื่อนครูได้เรียนรู้จากความผิดพลาด เป็นต้น 
  • ผมเสนอว่า การทำ PLC ไม่ควรมีกำหนดรูปแบบตายตัว แต่ควรกำหนดองค์ประกอบสำคัญๆ แทน และการประเมินเกี่ยวกับ PLC ต้องไม่ใช่การเก็บร่องรอยการทำ PLC แต่เป็นการประเมินผลลัพธ์ (Outcome) จากการทำ PLC  แทน เช่น ถ้ากำหนดปัญหา นักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ หลังจากทำ PLC ไปสักระยะแล้ว นักเรียนอ่านออกเขียนได้ เป็นต้น 
  • โดยขั้นตอนการกำหนดประเด็นปัญหา การตั้งเป้าหมาย (ผลลัพธ์ที่คาดหวัง) และขั้นตอนการประเมินผลลัพธ์ ให้มีศึกษานิเทศก์หรือนักวิชาการระบบประเมินที่มีมาตรฐาน  เน้นว่าไม่ต้องประเมินฐานเอกสาร แต่เป็นการประเมินที่ผลลัพธ์คือตัวนักเรียน ว่ามีความรู้หรือทักษะเป้าหมายหรือไม่เพียงใด.
  • ดร.เกศทิพย์ ท่านแนะนำครูให้ใช่วงจร  Do-> Refleciton->Share->Learn โดยมี Output เป็น นวัตกรรมของกลุ่ม PLC 


  • รศ.ดร.ชวลิต ชูกำแพง แห่งมูลนิธิสถาบันวิจัยระบบการศึกษา ท่านใช้วงจร Plan-> Do->See 
  • ผมขอเสนอวงจร Plan->Do->See->Reflection ดังรูปครับ



วิพากษ์การเขียน Logbook ตามแนวทางของ ก.ค.ศ.

ก.ค.ศ. รวบรวมเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ในเว็บไซนี้ (ขอชื่นชมการนำข้อมูลขึ้นแชร์ออนไลน์นะครับ)  ตามแบบฟอร์มนี้ Logbook มีองค์ประกอบที่ต้องเติม อย่างน้อย ๒๐ ข้อ ดังนี้
  • วันที่ 
  • ชื่อกลุ่มกิจกรรม
  • จำนวนสมาชิก
  • ชื่อกิจกรรม
  • ครั้งที่ 
  • วันเดือนปีที่จัดกิจกรรม
  • ภาคเรียน
  • ปีการศึกษา/ปีงบประมาณ
  • จำนวนชั่วโมง
  • บทบาท
  • จำนวนสมาชิกที่เข้าร่วมกิจกรรม
  • ประเด็น
  • สาเหตุ
  • ความรู้/หลักการที่นำมาใช้
  • กิจกรรมที่ทำ
  • ผลที่ได้จากกิจกรรม
  • การนำผลที่ได้ไปใช้
  • อื่นๆ
  • รหัสเอกสารสำหรับตรวจสอบ
  • การรับรองจาก ผอ. 
และจากศึกษาจาก Powerpoint ของ ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า
  • Logbook ในความหมายนี้ ไม่ใช่บันทึกการเรียนรู้จากการทำงานสอนของครู 
  • Logbook ในความหมายนี้ คือ การบันทึกประชุมของกลุ่มครู 
  • ดังนั้น ในความหมายนี้ PLC ครู จึงเน้นไปที่งานเอกสารการประชุม ...  ซึ่งไม่น่าจะใช่ PLC ที่ดี
แนวทางการเขียน Logbook ที่ ก.ค.ศ. กำลังเผยแพร่อยู่ขณะนี้ แสดงดังตัวอย่าง ด้านล่าง 



  • ชัดเจนว่า เป็นการบันทึกการประชุมที่ค่อนข้างเป็นทางการและเป็นรูปแบบ เป็นพิธีการ คล้ายๆ วัฒนธรรมการทำงานแบบ "ประชุม" แล้ว "สั่งการ" เหมือนงานราชการทั่วไป  
  • ผมเห็นว่า การมารายงานการประชุมทุกครั้งแบบ "เต็มรูปแบบ" หรือ "เป็นรูปแบบ" แบบนี้ เป็นการเพิ่มงานโดยไม่จำเป็น  




  • ในการประชุมนี้ ใช้เวลา ๒ ชั่วโมง มีผู้เข้าร่วมราว ๑๐ ท่าน มีเอกสารประกอบ ๓ ฉบับ คือ แบบบันทึกการเรียนรู้ของนักเรียน แบบบันทึกหลังสอนของครูผู้สอน และแบบสังเกตการสอนของเพื่อนครูที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งมีรูปแบบดังตัวอย่างด้านล่าง ... ผมเข้าใจว่า น่าจะเป็นการทำ Lesson Study กันครั้งหนึ่ง
  • สังเกตว่า บันทึกการประชุมหลังสอนครั้งนี้ ก็ไม่ได้ มีรูปแบบตาม ๒๐ กว่าองค์ประกอบตามแบบฟอร์มที่กำหนด  














หลังจากศึกษาพอเข้าใจแล้วว่า แนวทางของ ก.ค.ศ. เป็นอย่างไร ผมมีความเห็นเชิงวิพากษ์ ดังนี้ 
  • การกำหนดให้ครูเขียน Logbook แบบนี้ เป็นการเพิ่มงาน เป็นภาระให้ครูมากขึ้น เป็นงานเอกสาร 
  • สังเกตว่า ประเด็นต่างๆ ที่บันทึก สะท้อนว่า การสนทนาไม่ได้มุ่งเอา "ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่เกิดกับนักเรียนรายบุคคล"  แต่เหมือนมุ่งไปที่ "ครู" เช่น วิธีการสอนของครู พฤติกรรมของเด็กต่อการสอน ... ซึ่งความจริงควรจะมีการสนทนากัน  ข้อมูลสะท้อนเกี่ยวกับนักเรียนไม่ลงลึกถึงคนที่มีปัญหา ความรุนแรงของปัญหา และไม่ถึงสาเหตุของปัญหา 
  • สังเกตว่า ข้อมูลไม่ละเอียดมากนัก ไม่เห็นผลการประเมินผลลัพธ์เชิงปริมาณ  ส่วนใหญ่จะเป็นการประเมินสถานการณ์ (ด้วยความคิดความเห็น) ของผู้พูด เช่น นักเรียนส่วนใหญ่....  เป็นต้น แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาในการทำ PLC เบื้องต้นต้องเริ่มแบบนี้  ต่อไปเมื่อ PLC หมุนเกลียวลงลึก จะทำให้ข้อมูลมีทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ละเอียดถึงปัญหาว่าอยู่ตรงไหน แก้แบบนี้ แล้วผลเป็นอย่างไร  ... ซึ่งหากละเอียดถึงตรงนั้น  รายงานการประชุมไม่ใช่เครื่องมือจะจัดเก็บได้ ต้องใช้การจัดการความรู้ (Knowledge Managenet, KM)
  • เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดต่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนคือความเข้าใจใส่ของครู และปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ ครูต้องทำภาระงานอะไรที่ไม่เกี่ยวกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน หรือไปทำงานส่วนตัว หรือแม้แต่จะเป็นการทิ้งร้างห่างเด็กไปด้วยไม่มีจิตวิญญาณแห่งครูเหลืออยู่ ... การคืนครูให้นักเรียน เป็นแนวทางที่ถูกต้อง 
  • ดังนั้น การกำหนดภาระงานด้านเอกสาร จึงไม่ใช่แนวทางที่ดี 
ผมฝันว่า 
  • ระบบวิทยฐานะไม่ต้องตามดูร่องรอยเอกสารมากนัก ให้เน้นไปที่ผลลัพธ์ต่อนักเรียน และสังเกตจากร่องรอยการเรียนรู้ของครูแต่ละคน ซึ่งแต่ละท่านอาจจะจัดเก็บข้อมูลตามรูปแบบที่ตนถนัดและชื่นชอบ  ... เช่น ครูบางท่านอาจจะชอบเขียนบันทึกบน gotoknow เหมือนผม เป็นต้น ... ดังนั้น Logbook อาจอยู่ในรูปแบบใดๆ ก็ได้ที่ครูถนัด เช่น การเขียนลงในสมุดบันทึก การเขียนบันทึกในบล็อค การเขียนในเว็บไซต์ การบันทึกเสียง การบันทึกเป็นคลิปวีดีโอ ฯลฯ   
  • สิ่งที่ สพฐ. และ ก.ค.ศ. ต้องการ จะบูรณาการกับงานของครูเพื่อศิษย์ โดยไม่ได้ไปสร้างภาระอะไร แต่ทุกสิ่งอย่าง หนุนให้ท่านทำในสิ่งที่อยากทำเพื่อให้เด็กมีผลการเรียนรู้ดีขึ้น... การถอดบทเรียนของนักการศึกษา หรือนักขับเคลื่อนอิสระ "ฅนค้นครู" พิสูจน์ให้รู้ทั่วไปแล้วว่า มีคุณครูแบบนี้อยู่มาก  
  • วิทยาฐานะ หรือความก้าวหน้าของครูเพื่อศิษย์  สามารถมอบให้ท่านได้โดยท่าน "ไม่ต้องขอ" ไม่ต้องกรอกเอกสารใดๆ  เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ท่านทำให้ต่อศิษย์ เป็นที่ประจักษ์ชัด  ซึ่งอาจยืนยันด้วยแบบทดสอบมาตรฐาน และการเข้าไปประเมินเชิงประจักษ์จริงๆ จากผู้ประเมินที่เชี่ยวชาญ ซื่อสัตย์และเป็นกลาง 
บุคลากรที่มีในส่วนกลาง  ลงไปร่วมกันลุยช่วยครู ให้ครูได้อยู่และสอนเด็กเต็มที่ คือก้าวแรกที่ควรจะทำครับ